Lost and Found by Google

Monday 28 March 2011

Beautiful smell,,, It's a time for female

กลับมาอีกครั้งครับ entry นี้มาแบบง่ายๆเพราะเป็นอะไรที่เคยพูดถึงไปแล้ว ใช่แล้วครับผมกลับมาพูดถึง Doku Jeans อีกครั้ง แต่กลับมากับตัวใหม่ที่เป็นของสุภาพสตรี ใช่แล้วครับ Doku Jeans ออกทรงสำหรับผู้หญิงมาแล้วและชื่อเรียกของเธอก็คือ "MIKA" แน่นอนเป็นศัพท์ญี่ปุ่นที่แปลว่า กลิ่นหอมที่งดงาม


เนื่องด้วยว่ามีโอกาสได้เข้าไปที่ Doku Shop อีกครั้ง พร้อมกับเห็นตัวจริงของ MIKA ที่ผมพอทราบมาล่วงหน้าก่อนจะออกซักพัก ก็ต้องย้อนความกันหน่อย เพราะทีแรกผมเองกลัว Tora ทรงจะใหญ่ไป จากที่เคยเขียนใน entry ที่แล้วก็เลยถามทางคุณคิมว่าพอจะมีตัวใหม่ออกมาเป็น skinny หรือไม่ ก็เลยพอรู้ว่าจะมีตัวนี้ออกมา ซึ่งจริงๆเห็นตัวจริงนานแล้วล่ะแต่ไม่ได้คิดเรื่องรีวิวเพราะไงก็คงไม่ได้ใส่ แต่พอดีตอนหลังนี่มีเหตุนิดหน่อย ก็เลยหยิบมารีวิวดีกว่า...

Mika จะใช้ผ้าตัวเดียวกับ Tora นั่นก็คือริมแดงสี Deep Blue ซึ่ง... เป็นผ้าล็อตสุดท้ายของผ้าตัวนี้ นั่นแปลว่า Tora จะไม่มีสี Deep Blue อีกต่อไปแล้ว ใครอยากได้ก็ต้องรีบไปสอยกันซะ ก่อนที่มันจะหมดแล้วหมดเลย ส่วน Mika ก็มีออกมาแค่ราวๆ 50 ตัว ซึ่งนั้นก็แปลว่าใครอยากใส่ก็ควรจะรีบไปซื้อก่อนที่หมดแล้วจะหมดเลยอีกเหมือนกัน

Mika จะมีทรงเป็นเอวต่ำที่เล็กกว่า Tora อยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับต่ำมากเพราะทาง Doku บอกว่าเวลาใส่แล้วด้านหลังจะไม่เปิดออก เพราะคุณผู้หญิงส่วนใหญ่จะกลัวเวลาใส่ยีนส์แล้วข้างหลังเปิดเวลานั่ง ส่วนไซส์เล็กสุดที่มีคือ 25 ซึ่งเป็นเอวป้าย เอวจริงๆผมลืมวัดกลับมาน่าจะอยู่ที่ 27 สะโพกน่าจะไม่เกิน 32-33 ส่วนที่วัดมาชัวร์ๆคือ โคนขา 9.5" เข่า 6.25" ปลายขา 5.75" (วัดด้านเดียว) inseem 29" ซึ่งสัดส่วนของแต่ละตัวอาจจะมีผิดพลาดกันบ้างราวๆ ±5% ตามขั้นตอนการผลิตนะครับ ฉะนั้นสัดส่วนที่ผมวัดมาจะไม่เป๊ะกันทุกตัว ทางที่ดีลองตัวไหนใส่แล้วสวย ก็เอาตัวนั้นไปเลยครับ

เอาละครับเล่าเรื่องมาพอสมควร ทีนี้ก็มารีวิวกันแบบง่ายๆเหมือนเคย รูปพร้อมกับคำบรรยายพอประมาณนะครับ ผมไม่อยากเขียนเยอะเพราะเดี๋ยวแต่ละคนอ่านแล้วจะตั้งความหวังกันสุดโต่ง เอาแค่พอประมาณแล้วไปเห็นตัวจริงกันเอาเองดีกว่าครับ ถูกใจ ไม่ถูกใจ ก็วัดกันเป็นคนๆไปเลย ส่วนที่ผมเขียนก็บรรทัดฐานกลางๆตามแบบของผมละกันนะ เพราะยังไงผมก็ไม่ได้ลองใส่เลยตอบไม่ได้ว่าถ้าใส่แล้วมันจะเป็นยังไง หรือความรู้สึกตอนใส่มันเป็นยังไงนะครับ


ป้ายหนังตัวนี้เป็นหนังคนละตัวกับของ Tora ครับซึ่งมีความเข้มมากกว่า นิ่มกว่า ก็เข้าใจว่าเพราะหนังที่สั่งมาทำป้ายจะเป็นคนละล็อตกัน ฉะนั้นสีก็เลยแตกต่างกันไปตามแต่ล็อตที่มาทำ


กระเป๋าหลังก็แน่นอนครับว่ายังเป็นเย็บกลางและปั๊มเรซิ่นนูนหน้าเสือของทางร้าน แต่กระเป๋าจะใบเล็กลง โค้งมนมากขึ้นให้เข้ากับคุณผู้หญิง


อักษรเบรลล์ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่เนื่องจากส่วนของชิ้น yoke มีขนาดที่แคบลงตามที่ทรงเป็นเอวต่ำ ตัวอักษรเบรลล์ก็เลยโดนบีบเล็กน้อย



กระเป๋าใบหน้าก็มีขนาดที่เล็กลงกว่าของผู้ชาย รวมทั้ง coin pocket ที่เล็กลง แต่ดีเทลล์ทั้งหมดยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวของผู้ชาย ซึ่งหมายถึงลายเย็บลูกไฟด้านใน coin pocket ก็ยังอยู่ด้วยเหมือนเดิม แต่จะเปิดดูได้ลำบากนิดนึง


เอวต่ำ ฉะนั้นในส่วนของกระดุมก็ได้มีการลดจำนวนลง จากของผู้ชายสามเม็ด Mika ก็เหลือสองเม็ด (ไม่นับเม็ดที่เอว)


ส่วนผ้าที่ใช้ก็อย่างที่บอกครับ ริมแดง Cotton 100% ตัวเดียวกับ Tora ซึ่งนั่นทำให้กางเกงเล็กมากไม่ได้เนื่องจากผ้าจะไม่ให้ตัวเหมือนผ้ายีนส์ผสม ซึ่งนั้นอาจจะทำให้คุณผู้หญิง(บางคน)อึดอัดบ้างถ้าไม่คุ้นเคยกับยีนส์ผ้าดิบ แต่ทางที่ดีลองไปใส่ดูครับ ส่วนเรื่องของสีตก ทางร้าน wash ให้แล้วหลายครั้งพอสมควรซึ่งสีจะตกน้อยลงเยอะมาก (ไม่ได้บอกว่าจะไม่ตกนะครับ ฉะนั้นระวังนิดนึง)


ผ้าริมที่ยังคงใช้ในส่วนของรังดุมด้านในเหมือนกับทุกๆรุ่นของผู้ชาย ซึ่งยืนยันได้ว่าแข็งแรงแน่นอนไม่มีขาดกันง่ายๆครับ


ส่วนของลายสกรีนที่กระเป๋าด้านในยังคงเหมือนกับของตัวผู้ชาย ต่างกันตรงจะมีด้ายแดงปักบอกไซส์ไว้ด้วย (จุดนี้สวยดี)



ป้ายการซักรีดที่เหมือนกันทุกตัว และ ป้ายคำเตือนเรื่องสีตกซึ่งยังมีอยู่เหมือนกัน (ซื้อไปอย่าลืมทำความเข้าใจก่อนใส่ครับ)


จับมาเทียบกันกับตัว Tora Deep Blue สีดูยากไปซักนิด แต่บอกได้ว่าใกล้เคียงครับ จางกว่าแค่นิดหน่อย แต่ถ้าซื้อใส่ไปพร้อมๆกัน คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใส่แล้วล่ะครับ ซึ่งของผู้ชายคงเฟดเยอะกว่า จากการใส่ใช้งาน คุณผู้หญิงใส่แล้วซักคงจะ keep ตัวสีเอาไว้

คราวนี้ไม่มีรูป fit pic นะครับ เพราะผมก็คงจะไม่สามารถใส่ได้ (เอาจริงๆน่าจะใส่ได้ที่ไซส์ 26 แต่คงจะอึดอัดเป็นบ้า) เพราะ skinny ที่มีก็เป็นผ้าผสมตัวนี้ดิบล้วนน่าจะมีเฉียดตายกันได้สำหรับผู้ชาย แต่ถ้าใครอยากลองก็ลองดูครับ แล้วมาบอกกันด้วยว่าเป็นยังไง อ่อ แล้วช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยครับ ถ้าไม่อยากป่วยแบบผม ขอลาไปตรงนี้เลยละกันครับผม สวัสดี พบกับใหม่เมื่อมีประเด็นให้เขียน

ใครที่สนใจเจ้าเสือน้อย Doku ก็ลองเข้าไปดูที่ช็อปได้ครับ ร้านอยู่ใกล้ๆร้านอาหารสีฟ้า ตรงตรอกข้างๆร้านที่จะทะลุไปด้านหลัง ส่วนรายละเอียดเนื้อหา หรือมีข้อสงสัยอะไรก็ติดต่อได้ที่เวป+FB+ถ้าหลงทางอยากดูว่าร้านอยู่ไหน ก็ตามนี้ครับ
website: www.dokujeans.com
facebook: www.facebook.com/dokujeans
foursquare: foursquare.com/venue/16680038

Saturday 26 February 2011

Poor My Friends !

เคยกันไหมครับอยากลองอะไรซักอย่างนึง แต่พอได้ลองแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด เรื่องที่ว่าดีกว่าที่คิดพักไว้ก่อน เอาเรื่องแย่กว่าที่คิดดีกว่า ลองปุ๊บรู้เลยทันทีว่าไม่น่าเลย ไอ้$%* เพื่อนผมสองคนที่เกาอังกฤษพึ่งเจอเหตุการณ์แบบนั้นมา... เราจะเรียกนามสมมิตว่า อิ่ม กับ เอม ละกันนะ ส่วนในวงเล็บคือความคิดผมละกัน :S

เรื่องราวมันเกิดจากว่าอิ่มไปเรียนที่อังกฤษได้เกือบสองปีแล้ว แล้วเมื่อเดือนที่แล้วเอมได้ไปทำ pilot งานที่ประเทศอังกฤษก็ไปพักอยู่กับอิ่ม ฤกษ์งามยามดีอิ่มที่ยังไม่เคยได้สัมผัสโชว์เสียวซักครั้ง เอาล่ะได้เพื่อนก็เลยพากันไปดูโชว์เสียวที่ย่าย SOHO ทั้งสองไปถึงตรอกเล็กๆมีป้ายหน้าร้านเขียนว่า Peep Show ค่าเข้าคนละ 5 ปอนด์ เอมได้เล่าให้ฟังว่า อีป้าหน้าร้านคะยั้นคะยอให้เข้า "บอกราคานี้ถูกจะตายนะจ๊ะ มาซิมาลองดู..." เอมเลยบอกอิ่มว่าก็ลองดูสิ ทั้งสองก็จึงเดินลงไปชั้นใต้ดิน พบกับห้องสี่เหลี่ยม พร้อมเวทีเล็กๆ และเสาสีเงินอยู่กลางเวที (อ่าห๊าาาา เริ่มแลดูสยิว)

ไอ้เพื่อนทั้งสองก็ด้วยความนู๊บตัดสินใจน่ั่งบริเวณริมๆห้อง (มันบอกว่ารู้สึกปลอดภัย) ทันใดนั้นเองสาวบริกรนางนึงก็เดินมาหาหนุ่มเอเซียทั้งสอง พร้อมเอ่ยถามว่า "มรึงสองคนจะแดกอะไรดีคระ" แปลให้หยาบคายเพราะอิ่มและเอมบอกว่า หน้าตาอย่าเรียกว่ามาบริการเลยดีกว่า มาทางทำงานแบบขอไปที เพื่อนทั้งสองก็นั่งคิดในใจก่อนจะกลั้นใจสั่งแบบชุดใหญ่ 1 Coke, 1 Lemonade (ฮ่าๆๆ XD) สนนราคาสองแก้วรวมกัน 6 ปอนด์พอดิบพอดี ก็จ่ายไป 20 ปอนด์...

หลังจากนั้นไม่นานสาวบริกรผู้นั้นก็กลับมาพร้อมกับน้ำสองแก้ว และไม่มีทีท่าของเงินทอน อ้าว เงินไปไหน! อิ่มและเอมเริ่มไม่แน่ใจ แล้วเธอก็เริ่มสาธยายกฏของทางร้าน "ที่นี่ลูกค้าทุกคนต้องสั่งเครื่องดื่มและเลี้ยงดริ๊งค์ให้กับสาวน้อยในร้านด้วย (นั่นแน๊) และหลังจากเลี้ยงดริ๊งค์แล้วก็จะได้เริ่มดูโชว์กันนะจ๊ะ หลังจากดูโชว์จบแล้วก็ยังสามารถสั่งดริ๊งค์ได้อีกคนละแก้วตาม package" อิ่มและเอมเริ่มสับสน package อะไร? (ตกลงนี่ร้านโชว์เสียวหรือค่ายมือถือละเนี่ย...) และแล้ววลีเด็ดที่ 1 ก็ได้หลุดออกมาจากปากอีนั่นว่าาาาาาา "ทั้งหมดในรอบแรก เป็นเงิน 105ปอนด์ ค่ะ" (อีเหี้ยยยยยยยยครับ! ! !)

อิ่มและเอม เริ่มสับสนถามกันไปมา อะไรของมัน เอาไงดี บริกรนางนั้นเอ่ยถามออกมา "พวกคุณเคยมาที่นี่รึเปล่า" สองเกลอตอบไปว่า ไม่เคย คนที่หน้าร้านชวนก็เลยลองเข้ามาดู สาวบริกรเอ่ยออกมาว่า "โอ้ ถ้างั๊นคุณคงไม่รู้ว่าราคาทั้งหมดนี่เป็นไปตามกฏหมาย" (กฏหมายส้นตึกไรของมันวะครับ) สหายทั้งสองของผมจึงถามกลับบ้างว่า โอ้แพงจัง ถ้างั๊นเราสองคนออกเลยได้ไหม (เอาละจะรอดแล้วเพื่อนกู) บริกรผู้นั้นจึงเอ่ยวลีที่สอง "ได้คะ เมื่อคุณสั่งเครื่องดื่มแล้ว ทุกอย่างอยู่ใน package ฉะนั้นกรุณาจ่าย 105 ปอนด์มาด้วยนะตะเอง" (จ่ายพ่องสิอีหัส มรึงปล้นกันชัดๆ! ! !)

ขณะเพื่อนทั้งสองมหองหน้ากันเลิกลั่ก คุยกันจะเอาไงดี อีบริกรคนเดิมชี้ให้ดูพร้อมร้องเพลงของไทเท "นั่นไงอยู่นั่นไง กล้องวงจรปิดอยู่นั่นไง" (ฮ่าๆๆๆ) ทั้งคู่ด้วยความกลัวว่าถ้าชิ่ง คงมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ใช่เรื่องกฏหมายรึตำรวจนะ แต่คงเป็นการ์ดของร้านลากไปกระทืบ - -' อิ่มก็เลยควักบัตรเครดิตให้บริกรนางนั้น เงิน 105 ปอนด์หายวับไปกับตา...! เมื่อตั้งสติได้ทั้งสองจึงตัดสินใจว่า เอาวะงานนี้ต้องดูให้คุ้ม ! (ดีมากเพื่อนนนน positive thinking)

ไฟของร้านเริ่มสลัว อิ่มและเอม สาดสายตาไปทางบาร์ที่มีสาวฝรั่งผมบลอนด์ สาวฝรั่งผมดำ (ความสยิวเพิ่มขึ้นมาอีกนิด จิตเริ่มเตลิด ใครล่ะใครจะเต้น ใครล่ะะะะ) ทันใดนั้นเองงงงง อีบริกรคนเดิมก็เดินออกมา อิ่มและเอมคิดในใจ จะมาเอาดริ๊งค์อีกเหรอ ผิดถนัด... เธอเดินขึ้นเวทีไป (อ่าว!) เอาล่ะในเมื่อรู้ตัวคนเต้นแล้ว เธอเดินขึ้นเวทีพร้อมกับเต้นด้วยลีล่าท่วงท่าต่างๆ ดังโปรฯที่ผ่านการเต้นมานับไม่ถ้วน ทันใดนั้นเธอก็รูดซิบชุดของเธอลงมาพาลให้เห็นหน้าอกและนม ! เพื่อนผมเริ่มหน้าชา เธอยังคงเต้นต่อไปเรื่อยๆ เอาละใกล้จบการแสดงดึงขึ้นสู่ไคลแมกซ์ เธอรูดกางเกงลิงตัวน้อยลงจากเอวสู่บั้นท้าย ลงมาสู่ขา จนหลุดออกมา เธอหยิบขึ้นมาคาบ (อิ่มและเอมอัมพาตกินไปเรียบร้อย) ทันใดนั่นเธอก็ปิดเกมด้วยท่าไม้ตาย เธอย่อตัวลง แล้วทันใดนั้นก็กางขาทั้งสองข้างออก ซึ่งแน่นอนมันหันมาทางอิ่มและเอม เอมหันหน้าหลบ ส่วนอิ่มหลบไม่ทัน รับไปเต็มๆ (ชิบหาย!) แล้วไฟก็เปิด นักท่องเที่ยวโต๊ะอื่นเดินออกกันอย่างหัวเสีย น้ำแก้วที่สองตาม package ไม่กงไม่กินมันแล้ว จณะที่อิ่มและเอมก็เดิมตามออกมาทันทีอย่างหงุดหงิด (อ่อ ผมลืมบอกไปว่าบริกร และนักเต้นผู้นั้น เป็นสาวชาวแอฟริกัน รูปร่างท้วม หรืออ้วนดีละ เอาเป็นว่าเอมบอกว่าน่าจะมีทารกอยู่ในท้องได้ 3-4คน ละกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ) สุดท้ายอิ่มและเอม ก็เลยอิ่มเอมกับหอย(ดำ)ตัวโต กลับบ้านไปตามระเบียบ เอวัง...

ปล. ผิดหวังไปตามๆกันละสิ เจอตอนจบแบบนี้เข้าไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Saturday 12 February 2011

ยีนส์ไทยใจญี่ปุ่น กระหน่ำดีเทล+กิมมิค สวยสะใจ ! ! !

หลังจากหายไปร่วมปี วันนี้กลับมาอีกครั้งแต่ไม่ได้มาคุยเรื่องเพลงเพราะขี้เกียจ วันนี้ผมมาแบบใหม่ขายในเรื่องของเสื้อผ้าก็แล้วกัน ด้วยความที่เป็นคนชอบยีนส์พอสมควรแต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายนัก ตัวไหนสวยก็ซื้อ ทรงสวยก็ซื้อ สีสวยก็ซื้อ ยี่ห้อดีก็ซื้อ เทรนด์ดีก็ซื้อ สีไหนยังไม่มีก็ซื้อ สรุปคือใช้ความรู้สึกเหนือเหตุผลในทุกๆตัวของการซื้อยีนส์ (ขณะเขียนก็ฟังเพลงกระตุ้นต่อมไปด้วย แนะนำว่าขณะอ่านก็ให้ฟังเพลงกระตุ้นต่อมไปพร้อมๆกัน กับ Twin Atlantic ชุด Vivarium ละกันนะจะได้มาฟีลเดียวกัน อ่อ...ชุดใหม่เค้าใกล้ออกละ)

วันนี้ผมจะพูดถึงยีนส์ไทยอีกยี่ห้อหนึ่งที่ทำออกมาได้สวยงามดีแท้ ทั้งเนื้อผ้า, รูปลักษณ์, ดีเทล, และกิมมิคเล็กๆน้อยๆ ผมขอเสนอ Doku Jeans ยีนส์ไทยที่ผมว่าค่อนข้างได้รับอิทธิพลจากความเป็นญี่ปุ่นมาพอสมควร ขอบอกล่วงหน้าว่าการมาเขียนบล็อคครั้งนี้ ผมไม่มีส่วนได้เสือ เอ๊ย เสีย! กับเจ้าของนะ แต่ผมถือว่าเค้าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพคนนึงที่เอาใจใส่ลูกค้าดีทีเดียว (ค่าอวย 20 นะครับคุณคิม) เอาละผมจะเริ่มพูดถึงที่มาของยีนส์ยี่ห้อนี้เลยละกัน (เนื้อหามาจากเวป dokujeans.com) จริงๆขี้เกียจแปลอ่ะ Copy-Paste เลยละกันนะ...


History and Inspiration
We created “DOKU” from our passion and love of jeans. From 3 years of through research and development, we have put tremendous effort and devotion in order to create the perfect pair of jeans. We traveled around to Japan, Sweden and Holland; three of the world’s top denim capital. These experiences have infused into “DOKU”: rich experience in fine jeans making, along with unconventional design and development. With our distinctive passion for denim, the creation of “DOKU”, a unique jeans brand was born. As a result, you can be sure that each pair of jeans is made with exceptional quality gained from an accumulation of skills and expertise.

Concept
“DOKU”, a word used to describe the characteristics of being bold and tough like a Tiger. “DOKU” also means, “Poison” in Japanese. We want to create a poison for jeans devotees that once you have experienced the world of “DOKU”, addiction is inevitable. Owing of rich details in every aspect and having a story behind it makes “DOKU” more desirable since the brand is represented by a Tiger’s determined personality; like the willpower of how we create the jeans. In addition, the arrow on the Tiger’s body means how we were able to overcome countless obstacles we faced during the development of “DOKU”.


พอรู้ประวัติ และ คอนเซ็ปคร่าวๆ ทีนี้ผมก็จะมาเหลาต่อถึงแบรนด์นี้กัน เดิมทีช่วงปีที่แล้วผมตั้งใจหายีนส์ตัวใหม่เพิ่ม เพราะเริ่มเบื่อกับ Nudie ที่มันเริ่มเกลื่อนตลาดเต็มทีรวมทั้งอยากได้อะไรใหม่ๆเก๋ๆบ้าง ก็เลยลองหาตามเน็ทไปเรื่อยๆ เจอเข้ากับ Doku Jeans กับอีกยี่ห้อคือ Fifth Requisite ก็เลยเอาล่ะ วางเป้าว่าสองยี่ห้อนี้ละกัน เลือกเอาซักตัวนึง ใจตอนนั้นอยากได้ Doku มากกว่าเพราะดีเทลลูกเล่นของกางเกงมีเยอะกว่า แต่ FIF ได้ความที่เป็นทรง Skinny เอาไงดีละ ?

ในช่วงนั้นก็ได้เจอบล็อคของคนนึงได้รีวิว เจ้าเสือน้อยโดนที่เป็นรุ่นและไซส์ที่เล็งเอาไว้ แต่เห้ยทำไมขามันหลวมโคร่งแบบนั้น ผมเลยตัดสับสน ว้าวุ่น จิตตก หาทางออกไม่ได้ว่าตกลงกางเกงมันเป็นสลิมจริงๆเหรอนั่น! (เว่อร์ป่ะ) ด้วยเหตุนั้นเลยไปสนใจ FIF มากกว่า แต่สุดท้ายสอย Dior Homme 17.5 มาซะงั๊น อะไรก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเองอย่างแรง เล็งสองยี่ห้อไปสอยยี่ห้อที่สามซะงั๊น...!

ทีนี้ก็วกกลับมาที่เรื่องของ Doku ระหว่างจากที่ผมดูครั้งนั้นผมก็ยังคุยผ่าน FB กับคุณคิมไปเรื่อยๆว่าจะมีออกทรง Skinny บ้างหรือไม่ แล้วก็เข้า Doku อยู่เรื่อยๆก็จะมีการตั้งถามว่าสินค้าตัวต่อไปเอาอะไรดี มีครั้งนึงผมตอบเข็มขัดไป หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีเข็มขัดออกมาเป็นหนังวัวหนา 4มิล สีแทนอ่อนๆรอวันลงออยตากแดดใช้ไปเรื่อยๆคงงามสะใจ เอาวะยีนส์ยังไม่ได้สอยเข็มขัดก่อนเลยละกัน...


จนสุดท้ายเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา Doku ได้ทำการเป็ดช็อปที่สยาม ก็เลยได้โอกาสแวะเข้าไปเยี่ยมคุณคิม กับดูกางเกงตัวจริงซะหน่อย ว่าขานี่ตกลงมันหลวมเป็นทรงกระบอกแบบนั้นจริงๆเหรอ คุณคิมต้อนรับอย่างดีแถมจำได้อีกว่าผมคือใคร (เอาคะแนนความใส่ใจลูกค้าไปเลยครับ) ปรากฏเข้าไปลองความซวยมาเยือนทันที ทุกอย่างมันพอดีเป๊ะ ออกมาสวยเลยทีเดียวกึ่งๆสลิม กึ่งๆสกินนี่ เพราะต้นขาสะโพกเอวพอดีแบบสกินนี่ แต่ตรงน่องใส่สบายหน่อยแบบสลิม ด้วยเพราะปลายขาเปิดเยอะด้วย 6.25" วันนั้นก็ลองเฉยๆ กลับบ้านมานอนก่ายหน้าผากสองวันเอาไงดี จะเหตุผลไม่ซื้อเพราะพึ่งซื้อ Dior มาไม่นานหรือจะกิเลสเพราะชอบมานาน เลยสรุปว่ากิเลสละกัน...


Doku Jeans เริ่มจากการมีสองทรงคือ Tora ที่เป็น Slim และ Hiro ที่เป็น Straight เแต่ตอนนี้กำลังจะมี Mika เพิ่มขึ้นมาซึ่มเป็นสกินนี่ของผู้หญิงเอวต่ำ รวมทั้งมีส่วนของ Top อย่าง Jacket และ Shirt และ Accessory เล็กๆน้อยๆ อย่างพวงกุญแจ แว่วมาว่าอนาคตกำลังจะมี iPad Case (อยากบอกคุณคิมว่า อย่าพึ่งรีบทำนะครับ เพราะ iPad 2 กำลังจะออกเร็วๆนี้แล้ว) กลับเข้าเรื่องต่อ ต้องบอกว่ายีนส์ยี่ห้อนี้สอบผ่านมากสำหรับผม ทั้งเนื้อผ้าริมแดงจากญี่ปุ่น (ผมไม่ทราบโรงงานจริงๆว่าผ้าจากโรงงานไหนแต่เดาเอาว่า ไม่ Kuroki ก็ Kaihara ละกัน) รวมทั้งดีไซน์ปลีกย่อยในส่วนต่างๆที่แทรกออกมาเป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆ จะโดนหักคะแนนนิดหน่อยก็ตรงทรง (ไม่ได้หักเพราะไม่ชอบแต่ปลายมันเปิดไปนิด นี่ถ้าเหลือซัก 6" นี่แจ่มเลย) เสียดายหน่อยก็ตรงความยาว 34 หมดไปซะก่อนแล้ว ผมก็เลยได้รับ ยาว 32 ตัวสุดท้ายของไซส์มาแทน เอาล่ะจากนี้ผมจะเริ่มเหลากางเกงตัวนี้เป็นข้อๆไปเลยละกันนะ


ป้ายหนังปั๊มลายออกมาได้อย่างสวยงาม หนังที่ใช้คุณภาพดีสีสวยพอสมควรใส่ไปนานๆเริ่มเก่าตามอายุน่าจะให้ความรู้สึกเก๋าๆมันส์ๆพอสมควร น้ำตาลเข้มๆมันช่างตัดกับยีนส์ indigo ได้สวยซะจริงๆ...


ตามมาที่ส่วนของกระเป๋าหลัง เป็นอีกจุดดึงคะแนนให้ผมชอบกางเกงตัวนี้ เพราะเจ้าเสือน้อยที่ปั๊มนูนเป็นโลโก้อยู่บนกระเป๋าหลังนี่ละ ยีนส์ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีปักลายลงไป หรือเย็บป้ายลงไป Doku แตกต่างออกมาด้วยการปั๊มเรซินให้กระเป๋านูนต่ำขึ้นมา รับรองว่าเฟดเมื่อไหร่เจ้าเสือน้อยบนกระเป๋าจะเด่นจนคนสนใจอย่างแน่นอน


มาที่บริเวณสะโพกหลังด้านซ้าย นี่คือส่วนที่ Doku กระชากใจรวมทั้งคะแนนจากผมสุดๆแล้วกับ ใช่ครับมันคืออักษรเบรลล์ ไม่รู้ใครคิดเหมือนผมรึเปล่านะ แต่ผมหลงเสนห์อักษรเบรลล์มากๆ เพราะมันทำให้คนที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อ่านหนังสือออก มันทำให้คนตาบอดต่างเชื้อชาติใช้ภาษาเดียวกันได้...



พลิกกลับมาที่ด้านหน้าบ้าง ที่เริ่มจากด้านหลังเพราะปกติ ปกติคนทั่วไปเค้ามองยีนส์เค้าจะมองจากด้านหลังมากกว่าด้านหน้านะครับ มาที่เรื่องของกระดุมก่อน กระดุมบนสุดโลหะสีทองเหลืองพร้อมปั๊มยี่ห้อยังดูเหมือนยีนส์ปกติ แต่สามเม็ดล่างนี่สิ ขาวสลับแดง สัมผัสดูมีพื้นผิวน่าจะผ่านการพ่นสีแบบทรายมา (หรือคิดไปเองก็ไม่รู้) แต่ให้ความรู้สึกมันส์ๆดีนะ ผ้ารังดุมด้านในก็เย็บแข็งแรงดี แถมยังใช้ผ้าริมในส่วนของรังดุมอีกด้วย



มาในส่วนของปะเก๋าใส่เหรียญ... กระเป๋า ! ทั่วๆไปเค้าก็จะเย็บปิดตายตัวธรรมดาเป็นช่องเล็กๆพอใส่เหรียญ หรือซ่อนเงินแฟน บางคนก็ใส่ไฟแช็ค ขาปั้นยีนส์ก็นิยมใส่ซิปโป้ให้เฟดแล้วเป็นรูปสี่เหลี่ยม Doku มาพิเศษหน่อย เป็นกระดุมแป๊กเปิดปิดได้ ตอนปิดก็จะเห็นหัวกระดุมเป็นลูกไฟเก๋ๆ เปิดมาเก๋กว่า มีลายปักเป็นลูกไฟอยู่ข้างใน เลิศศศศ ! ! !



Doku ทุกตัวจะมาพร้อมถุงผ้าดิบเล็กๆที่ระบุรุ่นของกางเกง ประโยชน์ของเจ้าถุงนี้ก็คือใส่อะไหล่ของกางเกงนั่นเอง ก็จะให้มาพอสำรองเผื่อว่าจะเกิดการกระดุมหลุม หมุดหาย จากการทลายซ่องโจร หรือจะสมบุกสมบัน ระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ตาม แต่ถ้ามันหลุดบ่อยๆ เพราะอ้วนปริจนกระดุมกระเด็น หรือลดไซส์มากเกินไปจนกระดุมมันรั้ง ก็ซื้อตัวใหม่ให้ไซส์มันพอดีเถอะครับ... ฮ่าๆๆ


พลิกตะเข็บดูด้านในกันบ้าง แน่นอนว่าต้องเป็น Selvage ยีนส์ตามการโฆษณา Doku ทุกตัวเป็นริมแดง Cotton 100% เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะใส่ลดไซส์กันได้มากนัก มันไม่ยีนส์เหมือนยีนส์ผสมนะครับ เอาแต่พอดี เดี๋ยวจะขาดใจตายคากางเกงยีนส์ซะก่อน


ด้านในของกระเป๋า มาพร้อมลายสกรีนสีเดียว ลายเส้นให้ความรู้สึกญี่ปุ่นได้ดีทีเดียว นี่ถ้าสกรีนสองสีดำแดง นึกภาพเป็นขาวดำแดง อย่างตาพี่เสือ+ยี่ห้อเป็นสีแดง คงจะมันส์ดี...




ป้ายต่างๆด้านในกางเกง ยี่ห้อ ป้ายซักล้าง ป้ายไซส์ รวมทั้งคำเตือนในการใส่ยีนส์ผ้าดิบ (หลายคนที่ใส่ยีนส์ผ้าดิบคงรู้ถึงกิตติศัพท์การทำลายล้างสิ่งของรอบตัวเป็นอย่างดี หากใครไม่รู้ลองซื้อมาซักตัวครับ อยู่ว่างๆก็เอามือลูบเล่น หรือออกกำลังกายพอมีเหงื่อ พ่อคุณเอ๊ยจับอะไรสีอ่อนๆละมีบรรลัยแน่นอน รถใครเบาะผ้าสีเบจ บ้านมีโซฟาสีขาว ไม่ต้องสืบเลยว่าสภาพจะเป็นไง ฮ่าๆๆๆ) ส่วนของป้ายไซส์ที่เห็น 26 ก็อย่าตกใจครับ ผมไม่ได้เอวเล็กขนาดนั้น เอวป้ายกับเอวจริง มันคนละเรื่องนะ


มาที่ Fit Pic บ้างละกัน ก็ต้องบอกว่าทรงสวยทีเดียวครับ แต่มันยังไม่ค่อยเข้ารูปผมนัก เพราะรูปนี้ตั้งแต่วันที่ได้ยีนส์มาวันแรก ตอนนี้ใส่มาได้ซักพักเริ่มเข้าตามรูปร่างผมแล้ว เรียกว่าสวยงามพอดีตัว เต็มอิ่มกับกางเกงตัวนี้มาก ดีไซน์ที่มันส์มาก ดีเทลที่แทรกมาได้อย่างเหมาะสม เรียกได้ว่าสมกับการที่ต่างคนคอยกันมา เชื่อว่า Tora มันก็คงรอผมมารับมันกลับบ้านอยู่เหมือนกัน คู่แล้วไม่แคล้วกันจริงๆ ! ! !

ใครที่สนใจเจ้าเสือน้อย Doku ก็ลองเข้าไปดูที่ช็อปได้ครับ ร้านอยู่ใกล้ๆร้านอาหารสีฟ้า ตรงตรอกข้างๆร้านที่จะทะลุไปด้านหลัง ส่วนรายละเอียดเนื้อหา หรือมีข้อสงสัยอะไรก็ติดต่อได้ที่เวป+FB+ถ้าหลงทางอยากดูว่าร้านอยู่ไหน ก็ตามนี้ครับ
website: www.dokujeans.com
facebook: www.facebook.com/dokujeans
foursquare: foursquare.com/venue/16680038

สุดท้ายก็จากลา entry นี้ไปแต่เพียงเท่านี้ละกันนะครับ แถมให้สองรูป เป็นตอนใส่คู่กับเสื้อเชิ๊ต Tora+Plaid+Uchio และ Tora+Polka Dot+Uchio(ที๋โดนเสื้อบัง) เอาเป็นว่าใครสนใจเจ้าเสือน้อยตัวนี้ก็ลองติดต่อสอบถามกันดู เผื่อจะมีไว้ในครอบครัวซักชิ้นสองชิ้น แต่ก็ระวังหน่อยละกันนะครับ เดี๋ยวจะติดพิษ แล้วจะหาว่าไม่เตือนเด้อ...

ps. รูปทั้งหมด ถ่ายง่ายๆผ่าน Sony Ericsson Xperia X10i+Vignette app for Android ใครใช้ Android ก็ลองโหลดมาใช้ได้นะครับ โปรแกรมเดียวคุ้มมมมมมมม


Friday 23 July 2010

มาๆหายๆ เป็นบ้าไรเนี่ย...

เดี๋ยวมาอัพ เดี๋ยวก็หาย สัญญาไม่เป็นสัญญาบอกจะอัพอาทิตย์ละครั้ง สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เอ่อ... แต่ช่วงนี้ว่างไม่รับงานใดๆทั้งสิ้นจากวันที่ 20-31 กรกฎา สาเหตุไม่ขอเปิดเผย (แต่ไม่ใช่ตกงานแน่ๆล่ะ ฮ่าๆๆ) วันนี้อยู่ดีๆก็อยากเขียนถึงวงนี้ จะเรียกวงดีไหมล่ะมีคนเดียว แต่แสดงสดก็มีหลายคนนะ... เอาเป็นว่าวันนี้จะพูดถึง

LCD Soundsystem !

LCD Soundsystem จริงๆเป็นชื่อแทนของ producer ชาวอเมริกันคนนึงนามว่า James Murphy ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งค่าย DFA Records โดยแนวเพลงของ Murphy คือการ mixing ระหว่าง dance กับ punk โดยมีส่วนประกอบอื่นๆของ disco และ experiment rock เข้าไปด้วย


LCD Soundsystem ได้รับความสนใจหลังจากปล่อยซิงเกิลตัวแรกออกมาในชื่อ "Losing My Edge" โดยเป็นแทรคที่ความยาวเกือบ 8 นาที และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนอกกระแส ซึ่งหลังจากนั้นก็มีซิงเกิลตามออกมาอีกสองเพลงคือ "Give It Up" และ "Yeah" ซึ่งก็ได้รับความนิยมอีกเช่นกัน...

และแล้ว และแล้ว และแล้ว และแล้ว และแล้ว อะ อะ อะ อะ อะอัลบัมแรกก็วางแผง ! เมื่อกุมภาพันธ์ ปี 2005 โดยออกมาในชื่อเดียวกับชื่อวง เป็น CD สองแผ่น แผ่นแรกเป็นเพลงในอัลบัม ส่วนแผ่นที่สองเป็นการเอาซิงเกิลที่ผ่านมาๆมารวมแล้ว re-release และเพลง "Daft Punk is Playing at My House" ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังถูกเอาไปใช้เป็นเพลงในเกมอีกหลายๆเกมอย่างเช่น Fifa 06, Forza Motorsport 2 และยังได้ขึ้น UK Top 40 ในเดือนมีนาคมอีกด้วย และรวมทั้งปลายปี 2005 วงก็ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Awards แถมยังได้รับเลือกจาก Amazon.com ให้เป็น Top 100 Editor's Pick of 2005

Order at Amazon - LCD Soundsystem (Audio CD) & LCD Soundsystem (MP3 Download)
ตัดฉับกลับมาตุลาคม 2006 ทาง Murphy ก็ได้ออกซิงเกิลใหม่ที่ทำร่วมกับ Nike ในชื่อเพลงว่า "45.33" ซึ่งเป็นเพลงที่มความยาว 45.58 นาที (ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม...?) ซึ่งตอนหลังก็ได้เผยออกมาว่า อยากทำเพลงที่มีความยาวมากๆเพลงเดียวจบเหมือนอย่างเพลง E2-E4 ที่ Manuel Göttsching เป็น producer

ถึงคราวของอัลบัมที่สอง ออกมาในเดือนมีนาคมปี 2007 โดยมีชื่อว่า Sound of Silver และกระแสตอบรับอยู่ในขั้นดี (ชิบหายวายป่วง) Mixmag ให้รางวัล Album of the Month, Pitchfork ให้ 9.2 คะแนน, The Guardian ให้ 5 ดาวเต็ม ! ! ! โดยอัลบัมได้ปล่อยออกมาหลังจากที่ซิงเกิลแรก "North American Scum" ปล่อยออกมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ โดยอัลบัมนี้ยังมีเพลงที่ร่วมกับกับศิลปินคนอื่นอีก อย่างซิงเกิล "All My Friends" ที่ออกมาเป็นซิงเกิลที่สองได้ทำเพลงร่วมกับ Franz Ferdinand, และ John Cale จากวง The Velvet Underground รวมทั้งยังมี cover เพลง "No Love Lost" ของ Joy Division อีกด้วย

ธันวาปี 2007 รางวัลได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy for Best Electronic/Dance Album แต่ก็แพ้ให้กับ The Chemical Brothers และได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Shortlist Prize แต่ก็แพ้ให้กับอัลบัม The Reminder ของสาว Feist แต่อย่างไรก็ตามวงก็ได้รับการยอมรับจากสื่อต่างๆอย่างเช่น Uncut, The Guardian, Drowned in Sound ให้เป็น Best Album of 2007 (ก็ยังดีน่าพี่ Murphy)
**FYI - All My Friends ได้ติด Top 10 Songs of 2007 โดยอยู่อันดับที่ 4, หลังจากกลับจากทัวร์วงได้แต่งเพลง "Big Ideas" เป็น soundtrack ของเรื่อง 21 และไอ้อยู่อันดับที่ 63 ของ Rolling Stone's List of the 100 Best song of 2008

Order at Amazon - Sound of Silver (Audio CD) & Sound Of Silver (MP3 Download)
ทำไมวันนี้ผมอัพบล็อกได้เรื่อยเปื่อยเอื่อยเฉื่อยขนาดนี้ละเนี่ย เขียนมาตั้งแต่บ่ายสอง นี่มันสี่โมงเย็นยังเขียนไม่เสร็จ แต่เอาน่ะอีกอึดใจ คนอ่านไม่เหนื่อย คนเขียนเหนื่อยยยยย มาต่อกันที่อัลบัมล่าสุดที่พึ่งวางแผง ก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่าตอนช่วงปลายปี 2008 ว่าวงจะไม่ทำเพลงต่อ แต่แล้ว Murphy ก็ออกมาสยบข่าวลือที่ว่าโดยการบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงทำอัลบัมใหม่...

Murphy เริ่มทำเพลงตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนปี 2009 โดยทำมาเรื่อยๆ รวมทั้งยังทำเพลงที่จะวางขายในวัน Record Store Day อย่างเพลง "Bye Bye Bayou" ของ Alan Vaga จากวง Suicide มา cover ใหม่

กุมภาพันธ์ 2010 วงได้ประกาศอย่างเป็นทางการในเวปว่าอัลบัมได้เสร็จแล้ว และกำหนดปล่อยซิงเกิลแรกอย่างเพลง "Drunk Girls" คือวันที่ 25 มีนาคม โดยได้ให้ steam ฟังผ่านเน็ทได้จากเวป One Thirty BPM หลังจากนั้นถึงได้ประกาศชื่ออัลบัมรวมทั้งเผยหน้าปกออกมาในวันที่ 30 มีนาคมในเวปของ DFA โดยใช้ชื่ออัลบัมว่า This Is Happening โดยจะไปวางแผงในเดือนพฤษภาคม และ Murphy ยังพูดอีกว่าอัลบัมนี้จะดีกว่าอีกสองอัลบัมที่เคยทำมา และ อัลบัมนี้อาจจะเป็นอัลบัมสุดท้ายของวง

ก่อนที่อัลบัมจะวางแผงในสหรัฐอเมริกา Murphy ได้มีทัวร์ที่ New York เจ้าตัวถึงกับคุกเข่าแล้วบอกกับแฟนเพลง ขออย่าให้อัลบัมหลุดออกมาก่อนจะวางแผงตามกำหนดเวลา โดยเจ้าตัวพูดออกมาว่า...

"If you got a copy of the record early and you feel like sharing it with the rest of the world, then please don't ... We spent two years making this record and we want to put it out when we want to put it out. I don't care about money – after it comes out, give it to whoever you want for free but until then, keep it to yourself."

Order at Amazon - This Is Happening (Audio CD) & This Is Happening (MP3 Download)
แต่ผมอยากบอกพี่ Murphy จริงๆว่า คำขอของพี่แม่งไม่ได้ผล ผมเห็นอัลบัมนี้หลุดออกมาในอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เดือนเมษายน ดีหน่อยตรงที่ว่าพวกโฮสที่ฝากไฟล์มันลบออกให้แล้วแจ้งว่า copyright ก็ช่วยกันได้คนละนิดคนละหน่อย... ใครชอบเพลงแนว Electronic แบบ Dance Punk วงนี้ไม่ควรพลาดนะครับ หรือถ้าใครรู้จักอยู่แล้วก็อ่านผ่านๆไปละกัน ส่วนใครอยากจะ order cd หรือ mp3 ผมทำลิงค์จาก amazon ไว้ให้แล้วก็กดกันเข้าไปได้เลยครับ เอาเป็นว่าจบตรงนี้ละกันครับสำหรับ entry นี้ สวัสดี... :)

ปล. หลังจากที่บอกตอนต้นว่าจะไม่รับงาน เมื่อกี๊สายตรงมาเลย "อยู่บ้านใช่ไหม เออเดี๋ยวอาส่งงานเข้าไปให้" ขอบคุณครับอาาาา วันหยุดประจำปีของผมมมมมมมมมมม !

Tuesday 29 June 2010

เมื่อผมกลับมาอีกครั้ง...

หายไปอย่างนานด้วยความที่งานเยอะม๊ากกกกกก (จริงขี้เกียจน่ะ...) ก่อนคุยเรื่องเพลงมาคุยเรื่องคอมพ์ผมดีกว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ฮ่าๆๆๆ อึดอัดใจมากต้องบอกต่อเยอะๆ คลิกไปยาวๆ : กะอีแค่เปลี่ยน HDD ชีวิตมันวุ่นวายได้ขนาดนี้ ! (แต่คิดอยู่ว่า... สงสัยบางคนจะอ่านกันไม่ได้เพราะตั้ง privacy ไว้ แล้วจะเอามาบอกทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ) เข้าเรื่องดีกว่า เคยได้ลองชิมเครื่องดื่มชื่อ Mew ใน 7-11 กันรึเปล่าครับ? ที่มันมีสองรส คุ้กกี้ แอนด์ ครีม กับ รัมเรซิน น่ะ... ถ้ายังไม่เคยลองก็ลองดูครับมันอร่อยดีนะ ไม่ต่างอะไรกับวงดนตรีวงนี้ที่ควรลองเหมือนกัน กับวงชื่อเหมือนเครื่องดื่มเมื่อกี๊... "Mew"



"Mew" วง alternative rock จากเดนมาร์กที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 1994 ในย่าน Hellerup ของกรุง Copenhagen สมาชิกก่อตั้งของวงประกอบไปด้วย
  • Jonas Bjerre
  • Bo Madsen
  • Silas Utke Graae Jørgensen
  • Johan Wohlert (ออกจากวงเมื่อปี 2006)
โดยทางดนตรีของวงได้ถูกจัดไว้ในกลุ่มของ Indie rock หรือบางทีก็เป็น Prog. Rock บ้างก็ว่าเป็น Shoegazing, Post-rock บางทีไปกันใหญ่เป็น "Pretentious Art Rock" เรียกได้ว่าโดนจัดไว้หลายแขนงมากแต่ Bo Madsen จัดให้วงตัวเองเป็น "The World's Only Indie Stadium Band"


และถึงแม้ว่าวงจะก่อตั้งมาตั้งแต่ 94 แต่กว่าจะโด่งดังและเป็นที่รู้จักจริงๆก็ในปี 2003 จากอัลบัม Frengers โดยได้ทั้งรางวัล "Album of the Year" และ "Band of the Year" ในงานประกาศรางวัล Danish Music Critics Award Show เหตุหนึ้งที่อัลบัมนีไ้ด้รับการตอบรับอย่างดีก็เนื่องมาจากวงได้ออกแสดงทัวร์ยุโรปโดยเป็นวง support ให้กับวงอย่าง R.E.M. จึงเป็นเหตุให้ได้รับการตอบรับเป็นวงกว้าง

ปี 2006 อัลบัมถัดมาก็ได้ออกวางแผง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในเดนมาร์กเอง และในยุโรปรวมทั้งยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และรางวัลจากสื่อต่างๆอีกมายมายแต่ความสำเร็จก็แลกมาด้วยการลาออกจากวงของ Johan เนื่องจากต้องการให้เวลากับแฟน (Pernille Rosendahl จากวง Swan Lee) ที่จะให้กำเนิดลูกชายในปีนั้น โดยภายหลังทั้งสองคนก็ตั้งวงดูโอในชื่อว่า The Storm

โดยทางวงก็ต้องออกทัวร์โดยมีสมาชิกจากวงอื่นมาช่วยในการออกแสดงโดยมี Nick Watts (จากอดีตวง Headswim) และ Bastian Juel (จากวง Swan Lee โดยมาช่วยเป็นการชั่วคราว) หลังจากทัวร์เสร็จนั้น ทางวงก็กลับไปทำ Studio Album อีกครั้งโดยสมาชิกดั้งเดิมเพียงสามคน โดยครั้งนี้ได้ไปทำที่ Brooklyn, NY กับ producer คนเดิมที่เคยทำให้โด่งดังในอัลบัม Frengers ที่มีชื่อว่า Rich Costey

และอัลบัมที่ห้าของวงที่มีชื่อยาวที่สุดในระบบสุริยจักรวาลก็ได้ออกวางแผงเมื่อปี 2009 โดยมีชื่อว่า... "No More Stories Are Told Today, I'm Sorry They Washed Away // No More Stories, The World Is Grey, I'm Tired, Let's Wash Away" ...นี่ผมไม่ได้ตลกนะเนี่ย

เอาเป็นว่าหากสนใจก็ลองหาฟังกันดูครับ วงเคยออกมาแล้ว 5 อัลบัม ตามหาตามล่ากันตามสะดวก บางอัลบัมอาจจะหายากหน่อย ฟังอัลบัมใหม่ๆไปก่อนละกันครับ ส่วนวันนี้ผมลาละครับ ไปทำงานต่อละ... สวัสดี
  • A Triumph for Man (1997, 2006 reissue)
  • Half the World Is Watching Me (2000, 2007 reissue)
  • Frengers (2003, 2007 reissue)
  • And The Glass Handed Kites (2005)
  • No More Stories... (2009)
แถมให้ 1 MV จากอัลบัมล่าสุด... =)

Friday 9 April 2010

Newcastle Rocks the Island !

พอดีงานและธุระเสร็จหมดแล้ว ก็เลยมีเวลามาอัพให้ได้อ่านกัน จริงๆที่เห็นมาอัพตอนเช้าขนาดนี้ เพราะว่าเมื่อวานผมหลับไปตั้งแต่สามทุ่มเศษๆได้ เนื่องจากวันพฤหัสได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียวเพียวๆ ก็เอาละอัพกันแต่เช้าเลยละกัน หลายคนที่สนใจบอลอังกฤษก็คงพอจะทราบข่าวกันแล้วว่า Newcastle United ที่ตกชั้นไปก็ได้เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู้ศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมไม่ได้เชียร์ แต่ที่ลากมาเพราะจะเข้าเรื่องวันนี้ว่ารู้หรือไม่ใน Newcastle มีวงดนตรีทีเขย่าหัวคุณได้เมื่อฟัง รวมทั้งอาการหลุดเมื่อได้ดูการแสดงสดแบบสะใจเลยทีเดียว พวกเขาเหล่านั้นก็คือ... "Maxïmo Park"


Maxïmo Park คือวง Alternative Rock จากเมือง Newcastle ที่มีสมาชิก 5 คนประกอบไปด้วย
  • Paul Smith (Vocals)
  • Duncan Lloyd (Guitar)
  • Archis Tiku (Bass)
  • Lukas Wooller (Keyboard)
  • Tom English (Drums)
วงได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี 2000 โดยสมาชิกสมาชิกสี่คน โดยชื่อของวงได้มาจากการช่วยกันคิดของ Duncan และ Archis โดยเอาชื่อของ Máximo Gómez Park มาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นชื่อใหม่ที่ใช้อยู่ ช่วงแรกเริ่มของวงก็ตระเวนทัวร์ออกแสดงไปเรื่อยๆตามงานแสดงเล็กๆรวมทั้งงาน Manchester 'In the City' ที่เป็นงานแสดงของวงที่ไม่มีสังกัดค่ายใดๆในเกาะอังกฤษ ภายหลังจากนั้นแฟนของมือกลองก็ได้แนะนำให้รู้จักเพื่อนคนนึงที่เคยร้องเพลง "Superstitions" ร่วมกับ Stevie Wonder...

เมื่อ Paul ได้มาร่วมกับวงเดิมทีวงจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาจะร่วมไปกับวงด้วยได้หรือไม่ จนกระทั่ง "เมื่อได้เห็นพอลกระโดดอย่างบ้าคลั่งในชุดสูท นั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่า นี่แหล่ะจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย" และเมื่อ Paul ได้เข้าร่วมกับวง ก็จึงได้รับเดโมทั้งหมดกลับมาเพื่อให้ไปเขียนต่อ

ประมาณมีนา 2004 วงก็ได้ลงทุนทำซิงเกิล Graffiti โดยเป็นแผ่นไวนิลขนาด 7 นิ้วทั้งหมด 300 แผ่น และภายหลังก็ได้ทำออกมาเพิ่มอีกสองซิงเกิลคือ The Coast is Always Changing และ The Night I Lost My Head โดยทำกันเองทั้งหมด และระหว่างนั้นก็แสดงสดประปรายในเมือง และได้ไปเตะตาเข้ากับ Steve Beckett แห่งค่าย Warp Records ที่เน้นดนตรีในแนว dance-electronic และก็ได้ตัดสินใจว่าจะเอาวงนี้เข้ามาอยู่กับทางค่าย

ทางวงได้มีงาน Studio ออกมาแล้วสามอัลบัม คือ A Certain Trigger (2005), Our Earthly Pleasures (2007), Quicken the Heart (2009) และอีกหนึ่ง B-Sides ในชื่ออัลบัมว่า Missing Songs (2006)

A Certain Trigger (Debut - 2005) ซึ่งอัลบัมนี้ขายไปได้ 300,000 แผ่นรวมทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Mercury Prize โดยคู่แข่งในปีนั้นมีแต่ตัวเป้งอย่าง Coldplay, Kaiser Chiefs, KT Tunstall, หรือแม้แต่วงหน้าใหม่ด้วยกันเองอย่าง Bloc Party แต่ก็กลายเป็น Anthony and the Johnsons ที่ได้รับไป

Missing Songs (2006) อัลบัมนี้เป็น Compilation ที่ประกอบด้วยงานส่วนใหญ่ที่จะเป็น B-sides แล้วก็มีงาน Demo เก่าๆก่อนจะออกอัลบัม รวมทั้งงาน Cover เพลง "Isolation" ของ John Lennon

Our Earthly Pleasures (2007) บรรลัยเกิดในอัลบัมที่สองเช่นเดียวกับ Bloc Party งานไม่ติดหู เนื้อหาไม่น่าสนใจมีเพียงซิงเกิลที่ดังอย่าง Our Velocity, Book from Boxes, Girls Who Play Guitars

Quicken the Heart (2009) กลับมาอีกครั้งหลังจากกระโหลกกะลาไปในในชุดที่แล้ว เลยกลับมาใหม่พร้อมด้วยโปรดิวเซอร์คนใหม่ Nick Launay ผู้เคยทำงานให้ศิลปินอย่าง Yeah Yeah Yeahs, Nick Cave, Talking Heads ซึ่งก็ผลออกมางานดีกว่าชุดที่สองเยอะเหมือนกัน เอาว่า NME ให้คะแนนชุดสองอยู่ที่ 6/10 พอมาชุดนี้ขึ้นไปอยู่ 8/10 เยอะกว่าชุดแรกที่ได้ไป 7/10 อัลบัมนี้เองก็ออกมาในหลายรูปแบบมากทั้ง Vinyl, CD, รวมทั้ง Special CD+DVD ซึ่งมันมีพิเศษของพิเศษตรงที่ 500 แผ่นแรกที่สั่งจากเวปของวงจะได้สุ่มลายเซ็นของสมาชิกในวง 1 คน ลงบนปก ซึ่งผมก็ได้มาแบบทันการ เดิมทีหวังว่าจะได้ลายเซ็นของ Paul Smith ไม่ก็ Tom English แต่ปรากฏว่า ได้ของ Archis Tiku ซะอย่างงั๊น โอ้วม่ายยยยยยยยยยยยยย ! ! ! ถึงจะเป็นสมาชิกของวง แต่ผมก็อยากได้ของคนอื่นมากกว่านะ ฮืออออออออออ~

*ภาคเสริม 1 Maxïmo Park เคยมาแสดงสดในเมืองไทยเมื่อครั้ง 100 Rock Festival ที่เมืองทอง โดยงานนั้นคนดูราว 80-90% ถามกันไปมารวมทั้งเพื่อนผมก็ด้วยว่า "วงอะไรวะ ?" ได้แต่ตอบไปว่ารอดูเอาแล้วกันแล้วเดี๋ยวมึงจะทึ่งสังเกตร้องนำให้ดีๆ หลังจากนั้นผ่านยังไม่ถึงครึ่งเพลงคำถามนั้นไม่อยู่ในหัวอีกต่อไป คนดูทั้งโซนกลายเป็นกระโดดกันอย่างไม่ยั้งเข้ามาแทน เดี๋ยวเอาตัวอย่าง Live มาแปะไว้ละกันครับ

**ภาคเสริม 2 รีวิวให้ดูกันไปเลยกับ อัลบัมที่สามในแบบ Special Edition ที่ประกอบด้วย CD เพลง และ DVD ชื่อ Monument เป็นแสดงสดของวงที่จัดขึ้นที่ Newcastle's Metro Radio Arena เมื่อปี 2007 และ อัลบัมรูปที่วงถ่ายไว้ระหว่างทำอัลบัมที่สาม เพื่อไม่ให้เสียอรรถรส ผมจะไม่โพสคั่นระหว่างรูป ดูกันไปเต็มๆครับ ส่วนผมขอลาตรงนี้เลยละกัน สวัสดีครับ


Live @ Reading Festival